คาเฟอีน (caffeine) คือ สารแซนทีนอัลคาลอยด์ พบในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น โคล่า, โกโก้, ชา, ช็อคโกแลต และมักผสมรวมอยู่ในกาแฟที่ทุกคนดื่มเป็นประจำ เนื่องจากกาเฟอีนในกาแฟ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วง ด้วยเหตุนี้กาแฟสด จึงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากเป็นระดับต้นๆ ของโลก
อย่างไรก็ตามกาแฟเป็นอาหารอย่างหนึ่งถูกสร้างมาจากธรรมชาติ อยู่กับเรามาช้านาน สารออกฤทธิ์ของกาแฟก็คือคาเฟอีน หรือ กาเฟอีน (caffeine) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า 113
ขึ้นชื่อว่าอาหารทุกชนิดจะแบ่งเป็น 2 อย่างเสมอ คือมีประโยชน์ และมีข้อเสีย ปริมาณรับประทานมากเกินไปมีผลกระทบแน่ หรือน้อยเกินไปสารสำคัญก็ไม่ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ คนดื่มกาแฟก็เช่นกัน ถ้าได้รับสารคาเฟอีในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากไม่ทำให้ร่างกายมีปัญหา ในทางกลับกัน ยังเป็นตัวช่วยบำรุงสุขภาพได้อีกด้วย
บทความนี้จึงอยากนำเสนอสุดยอด 5 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากคาเฟอีนในกาแฟได้อย่างเต็มที่ และจะบอกถึงปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคกาแฟ ซึ่งร่างกายจะได้รับคาเฟอีน เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจใน บทความนี้ จะพูดถึงเรื่องกาแฟดำเท่านั้น เช่น เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต หรืออเมริกาโน่ 1 แก้ว หรือที่เราเรียกว่ากาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล นม หรือครีมเทียม
และขอ เปรียบเทียบสัดส่วนคาเฟอีนที่ได้จากกาแฟ คือ เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต หรืออเมริกาโน่ 1 แก้ว ที่เราดื่มกันประจำ จะให้คาเฟอีนประมาณ 100 มิลลิกรัม
สารบัญเนื้อหา
- บำรุงการทำงานของสมอง
- เพิ่มการเผาผลาญเซลล์ไขมัน และออกกำลังกายได้นานขึ้น
- บรรเทาอาการปวดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
- บำรุงสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
- ลดความเสี่ยงการเกิดโรคร้าย
- คาเฟอีน กับเรื่องการขับถ่าย
- ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดี
1. บำรุงการทำงานของสมอง ด้วยคาเฟอีน
สมอง คือ อวัยวะที่ต้องถูกใช้งานอย่างหนักตลอดช่วงชีวิต หากไม่ได้รับการบำรุงใดๆ เลยโอกาสที่จะนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ของสุขภาพก็มีสูง สารคาเฟอีนจะมีส่วนช่วยปิดกั้นสารสื่อประสาทประเภทหนึ่ง มีผลให้สารโดปามีน กับ นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) มีปริมาณมากขึ้น เซลล์ประสาทภายในจึงทำงานได้ดีขึ้น
มีผลวิจัยชี้ชัดว่า การดื่มกาแฟจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีกว่าเดิมในด้านต่าง ๆ อาทิ การใช้ความจำ, การปรับอารมณ์, การตัดสินใจ, หลักความคิดปกติ ฯลฯ
ซึ่งการที่สมองทำงานได้ดีแบบนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงโอกาสในการเกิดพาร์กินสัน และโรคอัลไซเมอร์ หรือ โรคอัลซไฮเมอร์ (Alzheimer) พร้อมทั้งยังช่วยดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้เลิกคิดฆ่าตัวตายเยอะขึ้น แม้ผลวิจัยจะระบุว่าเป็นเฉพาะกับผู้ใหญ่ แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
คาเฟอีนในกาแฟจะช่วยให้การทำงานของสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น, กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากเขาไปบล็อกตัวที่ชื่อว่า อะดีโนซีน (adenosine) สารตัวนี้มักจะทำให้เรามีอาการง่วงหงาวหาวนอน อ่อนเพลีย เหมือนจะหมดแรง มีความรู้สึกเหมือนไม่อยากทําอะไรเลย
ภาพรวมของคาเฟอีนในการบำรุงสมองจึงถือว่ามีผลโดยตรงกับร่างกาย ใครที่กำลังป่วยทางใจ เครียดสะสม มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว ค้นพบว่าจะลดความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายถึง 45% และลดภาวะความเครียด และโรคซึมเศร้าถึง 13% เลยทีเดียว นับว่า Caffeine เป็นตัวช่วยได้เป็นอย่างดี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อย่าลืม! แอดไลน์ @innbuddy เพื่อรับข่าวสาร และโพรโมชันจากทางร้าน
2. เพิ่มการเผาผลาญเซลล์ไขมัน และออกกำลังกายได้นานขึ้น
ใครเป็นสายออกกำลังกาย หรือสายรักสุขภาพ สารคาเฟอีนเมื่อเข้าไปสู่ร่างกายจะช่วยกระตุ้นอะดรีนาลีน (adrenaline) ซึ่งเป็นสารสร้างความตื่นตัว ทำให้ร่างกายพร้อมสำหรับการใช้แรงมากขึ้นกว่าเดิม มีส่วนเปลี่ยนไขมันสะสมในร่างกายให้เป็นพลังงาน ซึ่งตรงนี้มีรายงานยืนยันชัดเจน
สารกาเฟอีนจะย่อยสลายหรือเพิ่มการเผาผลาญเซลล์ไขมันของคนอ้วน หรือโรคอ้วนได้ 10% และย่อยสลายไขมันคนหุ่นปกติได้สูงถึง 29% เลยทีเดียว พร้อมยังช่วยกระตุ้นการทำงานเพิ่มการเผาผลาญ 3-11% และการเผาผลาญไขมันจะเพิ่มขึ้นประมาณ 13% เมื่อเราดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนรวม 300 มิลลิกรัมต่อวัน
เท่ากับว่าถ้าเรากินกาแฟดำ 3 แก้ว จะได้ปริมาณคาเฟอีน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ร่างกายจะเพิ่มอัตราการเผาผลาญแบบฟรีๆ เพิ่มขึ้นมาประมาณ 80 แคลอรีต่อวันนั้นเอง
แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า ต้องเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล นม หรือครีมเทียม ทำไมถึงต้องย้ำแบบนี้เพราะถ้าดื่มกาแฟแบบใส่นม น้ำตาลหรือครีมเทียม เราจะได้รับแคลอรีเข้ามาในร่างกายประมาณ 500-900 แคลอรี ไม่คุ้ม หรือเรียกว่าขาดทุนกับสิ่งที่เราคาดหมายกับการเผาผลาญออกไป
คาเฟอีนในกาแฟ ยังช่วยเพิ่มความสามารถทำให้กลูโคสอยู่ในกล้ามเนื้อได้นานขึ้น นั้นหมายถึงเราจะออกกำลังกาย โดยการออกแรง ใช้กล้ามเนื้อได้มากขึ้น นานขึ้น ทนทานขึ้นนั้นเอง
ถ้าดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 1 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย จะทำให้เพิ่มพลังงานในการออกกำลังกายมากขึ้น ประมาณ 5% แต่จะต้องได้รับปริมาณคาเฟอีนประมาณ 200 มิลลิกรัม หรือเท่ากับกาแฟประมาณ 2 แก้ว หรือ เอสเปรสโซ 2 ช็อต
อีกความพิเศษในเรื่องของสุขภาพกาย สำหรับคนที่ดื่มกาแฟในปริมาณเหมาะสมต่อวันมีส่วนช่วยให้ร่างกายเหนื่อยน้อยกว่าเดิม เมื่อต้องใช้แรงมากๆ และสามารถเพิ่มเรี่ยวแรงหรือประสิทธิภาพได้ 11-12% คนเป็นสายสุขภาพอ่านข้อนี้แล้วคงต้องปรับการดื่มกาแฟของตนเองดูสักหน่อย เพื่อให้การออกกำลังกายของคุณได้ผลมากยิ่งขึ้น
แต่มีข้อความระวังสำหรับนักกีฬา และผู้ชื่นชอบการออกกำลังกาย สารกาเฟอีนเป็นยาขับปัสสาวะอย่างอ่อนๆ จึงแนะนำให้ก่อน,ระหว่าง และหลังการออกกำลังควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ป้องกันร่างกายขาดน้ำ
3. บรรเทาอาการปวดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
การศึกษาเรื่องนี้พบว่า คาเฟอีนช่วยแก้ปัญหาปวดหัวในชีวิตประจำวันที่บางทีอาจเกิดขึ้นโดยคุณไม่รู้ตัว เช่น ภาวะเครียด, ไมเกรน, แพทย์บางรายมีการแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวดร่วมกับเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนเพื่อช่วยลดอาการดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ในการรักษาพยาบาลบางแห่งก็มีการใช้สาร caffeine เพื่อลดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด เพราะบางคนชอบปวดหัวหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ
ทางการแพทย์มีแพทย์หลายท่านแนะนำให้ผู้ป่วยที่พึ่งผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรืออาจใช้การฉีดผ่านเข้าทางเส้นเลือด เพื่อลดอาการปวดหัวเมื่อมีการฉีดยาชาไปบริเวณช่องเหนือไขสันหลัง
ขอเพียงคุณอนุญาต ให้กาแฟ VAGASO ผ่านลิ้นรับรู้รสสัมผัส ความนุ่มกลมกล่อม และปล่อยให้สารกาบา พุ่งตรงทำหน้าที่ช่วยในเรื่องประสาท และสมอง เพื่อเป็นการเติมเต็ม จากการดื่มกาแฟในทุกๆ วัน เพียงแค่นี้ ก็ทำให้กาแฟแก้วโปรดของคุณ มีความหมายมากขึ้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม4. บำรุงสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
สำหรับใครที่มีอาการป่วยด้วยโรคหอบหืด การดื่มคาเฟอีนมีส่วนช่วยให้ระบบการหายใจดีขึ้น แม้ผลวิจัยจะระบุว่าแค่ระยะเวลาสั้นๆ ราว 4 ชั่วโมง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มีอาการหนัก และอาจลุกลามไปจนถึงขั้นชัก หายใจไม่ทัน สมองขาดออกซิเจน
ซึ่งตรงนี้ส่งผลร้ายแรงมากกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากโอกาสจะเกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมามีสูงโดยเฉพาะเส้นเลือดในสมองตีบ, อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ
ทั้งนี้ยังพบว่าแพทย์หลายๆ ท่านจะเลือกใช้กาเฟอีนในเด็กที่มีปัญหาด้านการหายใจเมื่อต้องคลอดก่อนกำหนด นั่นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกาเฟอีนที่มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจเป็นอย่างยิ่ง
ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมขายดี
5. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคร้าย
-
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระที่อัดแน่นอยู่ภายในสารคาเฟอีนคือตัวช่วยสำคัญในการลดความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งขึ้นกับร่างกาย
มีผลวิจัยยืนยันว่าถ้าเลือกดื่มกาแฟเฉลี่ย 3-4 แก้วต่อวัน มีส่วนลดปัญหาการเกิดมะเร็งได้ถึง 18%
ซึ่งมะเร็งที่มีโอกาสเกิดได้น้อยเมื่อดื่มกาแฟบ่อยๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็วผิวหนัง ฯลฯ
นอกจากลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งแล้ว ยังมีส่วนช่วยบำรุงตับ ผลวิจัยชี้ชัดว่าคนที่ดื่มกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวัน
จะลดความเสี่ยงการเกิดโรคตับแข็งได้สูงถึง 80% และยังลดอาการมะเร็งตับได้ถึง 40% เลยทีเดียว
กรดคลอโรเจนิก มีฤทธิ์ในการลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากรังสี และอนุมูลอิสระ ทำให้เป็นสารสำคัญที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดี
ระดับปริมาณ กรดคลอโรเจนิก จะพบมากในเมล็ดกาแฟที่ไม่ผ่านการคั่ว ขณะที่เมล็ดกาแฟที่ผ่านขั้นตอนการคั่วจะพบปริมาณกรดคลอโรเจนิก ที่แตกต่างกัน รวมถึงการสกัดกาแฟแบบใช้ความร้อนไม่สูง เช่น กาแฟดริป มีส่วนช่วยรักษาสารอาหารที่สำคัญในกาแฟไว้ในรูปแบบที่สมบูรณ์ และประกอบไปด้วยสารสำคัญอื่น ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพ
เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์ที่เต็มที่จากการดื่มกาแฟ การสกัดแบบดริปนี้ อาจเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพของคุณครับ
ควิไนด์ เป็นสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลาย ๆ ชนิด เช่น โรคกระเพาะอาหาร และมะเร็ง ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ช่วยปกป้องร่างกายจากอันตรายของโรค
-
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
คาเฟอีนในกาแฟสามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจ 16-18% ในผู้ที่ดื่มกาแฟ 1-4 แก้ว เทียบเท่าคาเฟอีนประมาณ 100-400 มิลลิกรัมต่อวัน
-
ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
โดยเฉพาะ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ภาวะดื้ออินซูลิน insulin resistance)
ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงได้ถึงประมาณ 30% ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน ลดความเสี่ยงประมาณ 12-14%
ในส่วนของ กาแฟดีแคฟ (Decaf Coffee) หรือกาแฟที่สกัดคาเฟอีนออก (แต่ก็ยังเหลือปริมาณคาเฟอีนอีกเล็กน้อย) ก็ยังมีสามารถลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ลงถึงประมาณ 21%
-
ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
มีงานวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟดำ ประมาณ 1-2 แก้วต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ได้ 14-20%
6. คาเฟอีน กับเรื่องการขับถ่าย
จากงานวิจัยผ่านการนำเสนองาน Digestive Disease Week / งานสัปดาห์เกี่ยวกับโรคทางเดินอาหาร
วิจัยค้นพบว่า ตัวช่วยในการขับถ่าย มันอาจจะไม่เกี่ยวกับปริมาณคาเฟอีนในกาแฟ
อย่างที่เราเคยรู้กันมาก่อนหน้านี้ แต่มีความเป็นไปได้ และมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับ Microbiome จุลชีพทั้งหมดในร่างกายมนุษย์
โดยการทดลองนักวิจัยให้หนูกินกาแฟ โดยกาแฟให้กิน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือกาแฟแบบคาเฟอีน และไม่มีคาเฟอีน โดยผลวิจัยที่ได้คือ
ลำไส้เล็กของพวกหนูมีความสามารถในการหดตัว บีบตัวได้ดีขึ้น โดยไม่เกี่ยวกับระดับปริมาณของคาเฟอีน ที่ได้รับ
เหล่านักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่า กาแฟส่งผลต่อแบคทีเรียในลำไส้อย่างไร เพื่อเป็นการหาคำตอบ นักวิจัยทดลองเอามูล (อึ) ของหนูทดลองผสมกับกาแฟ
เพื่อดูการลดลงของจำนวนแบคทีเรีย ผลปรากฏออกมาคือ
จำนวนแบคทีเรียจะลดจำนวนลง โดยปริมาณที่ลดลงไม่เกี่ยวกับกาแฟในจานว่าจะมีคาเฟอีนหรือไม่ และต้องใช้เวลาถึง 3 วัน แบคทีเรียถึงจะตายหมด
มีคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพลำไส้ แนะนำว่า เราควรขับถ่ายอุจจาระอย่างน้อย 1-3 ครั้งต่อวัน และจะดีที่สุดคือ อาหารที่เรากินเข้าไปมีส่วนช่วยไปกระตุ้นในการขับถ่าย ในกรณี คนท้องผูก Vincent Pedre แนะนำว่า อาจเป็นการดีถ้ามีการดื่มกาแฟสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการกระตุ้นกระบวนการทำงานของลำไส้ ให้ขับถ่ายอุจจาระบ้าง
ข้อมูลจาก : Mindbodygreen
7. ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดี
เห็นข้อดีของกาแฟที่มีคาเฟอีนผสมอยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่สิ่งที่เรากินเข้าไปเมื่อมีประโยชน์ ก็ย่อมมีโทษ แล้วดื่มเท่าไรละถึงจะเหมาะสม เพราะดื่มน้อยไปก็ไม่ได้ผล ดื่มมากไปก็ไม่ปลอดภัย
- ทาง USDA เป็นมาตรฐานทางฝั่งอเมริกา และทาง EFSA จะเป็นมาตรฐานทางยุโรป แนะนำว่า สำหรับคนที่สุขภาพปกติ ไม่ควรกินกาแฟเกิน 2-4 แก้ว หรือประมาณ 200-400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเอสเพรสโซ่ไม่เกิน 2-4 ช็อต ถ้าเป็นคนท้องไม่แนะนำให้ดื่มเกิน 2 แก้ว หรือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน (อ่านบทความเพิ่มเติม : ตั้งครรภ์ดื่มกาแฟ รวมถึงคาเฟอีนได้หรือไม่)
- ดื่มกาแฟแต่ละครั้ง หรือแต่ละแก้ว ไม่ควรได้รับคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัม หรือครั้งหนึ่งไม่ควรดื่มเอสเปรสโซเกิน 2 ช็อต หรืออเมริกาโน่เกิน 2 แก้ว
- ควรเลือกดื่มกาแฟดำ เพื่อหลีกเลี่ยง หรือระวัง น้ำตาล, ครีมเทียม ซึ่งมีแคลอรีสูง และทำให้อ้วนง่าย
- คาเฟอีนเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะอย่างอ่อน ดังนั้นหลัง หรือระหว่างดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำตามประมาณ 1 แก้ว เพื่อป้องกันร่างกายจากการขาดน้ำ บางคนเมื่อร่างกายขาดน้ำจะเกิดอาการปวดหัวร่วมด้วย
- กาเฟอีน มีผลลดการดูดซึมแคลเซียม ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ในระหว่างวันควรเสริมด้วยนมสด หรือผัก ผลไม้ ในปริมาณที่เหมาะสม
สรุป
บทความนี้กล่าวถึงประโยชน์ของคาเฟอีนที่พบในกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล นม หรือครีมเทียม และยังแสดงถึงประโยชน์ 5 อันดับแรกของการบริโภคคาเฟอีนในกาแฟ ซึ่งสนับสนุนโดยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
กาแฟนอกจากรสชาติอันแสนอร่อย กลิ่นอันหอมหวนเย้ายวนใจแล้ว สารคาเฟอีนยังช่วยเสริมสุขภาพให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อด้วย แต่กาแฟ หรืออาหารทุกชนิดบนโลกใบนี้ ย่อมมีข้อดี และข้อเสีย เพราะตัวอาหารถูกสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าคาเฟอีนมีผลต่อแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป
บางคนดื่มแล้วรู้สึกสบาย ได้สรรพคุณของกาเฟอีนได้อย่างเต็มที่ แต่บางคนอยากได้สรรพคุณของกาเฟอีนบ้าง แต่กินแล้วอาจไวต่อผลกระทบมากกว่าคนอื่น ๆ นำไปสู่ผลข้างเคียงด้านลบ เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือเกิดอาการที่ไม่ดีต่อระบบ Automatic nerve เช่น ใจสั่น มือเท้าสั่น นอนไม่หลับ
สิ่งสำคัญคือต้องฟังร่างกายของคุณ และบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบใด ๆ หรือ เลือกเมล็ดกาแฟ ที่ผ่านกระบวนการ Process ที่ทำให้ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟลดลง เช่น กาแฟขี้ชะมด ซึ่งเป็นการ Process โดยธรรมชาติในกระเพาะชะมด
หรือกาแฟ Dry Process ที่สารกาแฟถูกบ่มเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม 6-8 เดือน ทำให้เกิด Saturate caffeine ซึ่งช่วยลดอาการ มือเท้าสั่น ใจสั่น นอนไม่หลับ ทางด้านรสชาติ กาแฟที่กระบวนการบ่ม จะมีรสสัมผัสที่อ่อนนุ่มขึ้น ดื่มง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดการกระตุ้น Embryo ซึ่งเป็นผลพลอยได้ให้มีปริมาณสารกาบา (GABA) ช่วยในเรื่องประสาท และสมอง เพิ่มมากขึ้นกว่ากาแฟทั่วไปอีกด้วย
แนะนำ อ่านบทความ : 5 ประโยชน์จากสารกาบา ในเมล็ดกาแฟ
ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแนะนำ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อย่าลืม! แอดไลน์ @innbuddy เพื่อรับข่าวสาร และโพรโมชันจากทางร้าน